ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนแผนพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจภายใต้กรอบความร่วมมือ IMT-GT
.
วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมลี การ์เดนส์พลาซ่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ดร.โชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ (EC) ที่สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานระยะห้าปี (IB 2022–2026) ตามกรอบแผนงาน IMT-GT และสถานการณ์โลกในปัจจุบัน และการประชุมเชิงปฏิบัติการการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Workshop on Familiarisation of IMT-GT Economic Corridors)โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคการศึกษาร่วมเข้าร่วม
.
ผศ.ดร.นิเวศน์ อรุณเบิกฟ้า ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และพันธกิจสังคม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดสัมมนาในครั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชนในระดับพื้นที่ เกี่ยวกับแผนงาน IMT-GT และแนวระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 6 เส้นทาง ซึ่งมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการบูรณาการทางภูมิภาค พร้อมส่งเสริมให้เกิดข้อเสนอแนะ โครงการ และแนวทางการดำเนินงานที่สามารถจัดลำดับความสำคัญได้อย่างชัดเจน เพื่อเตรียมการนำเสนอต่อที่ประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด (CMGF) ครั้งที่ 22 ที่จะจัดขึ้น ณ จังหวัดตรัง ในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
.
ด้าน ดร.โชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้กล่าวถึงแผนงาน IMT-GT ซึ่งริเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ภูมิภาคนี้เป็นอนุภูมิภาคแห่งการบูรณาการและการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้ “IMT-GT Vision 2036” โดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมความร่วมมืออย่างเป็นระบบระหว่างประเทศสมาชิก ผ่านแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (Implementation Blueprint: IB 2022–2026) ซึ่งได้เน้นแนวทางการพัฒนาตาม “แนวระเบียงเศรษฐกิจ” หรือ Corridor-Centric Approach เป็นกลยุทธ์สำคัญในการเชื่อมโยงและเสริมสร้างศักยภาพในระดับภูมิภาค
.
ทั้งนี้ การพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ ถือเป็นยุทธศาสตร์หลักในการส่งเสริมการบูรณาการข้ามพรมแดน โดยมุ่งเน้นให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านความร่วมมือระหว่างธุรกิจและภาครัฐ โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ อย่างไรก็ตาม จากการทบทวนโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) พบว่า แม้มีความก้าวหน้าในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงทางกายภาพ แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการรับรู้ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ และบทบาทของกลไกสนับสนุนอย่างสภาธุรกิจร่วม (JBC) และ CMGF ที่ยังไม่สามารถผลักดันโครงการระดับภูมิภาคได้เต็มที่
.
สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัดอยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือ IMT-GT ได้ดำเนินงานร่วมกันทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันต้องตอบโจทย์การพัฒนาในพื้นที่ พร้อมทั้งรับมือกับความท้าทายจากสถานการณ์โลก อาทิ สงครามการค้า ความเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ ความเหลื่อมล้ำ และปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ
.
การประชุมในครั้งนี้ จึงนับเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของการเสนอแผนงานและโครงการตามแนวระเบียงเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ เพื่อจัดลำดับความสำคัญตามระดับความเร่งด่วน ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ และการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมเชิงนโยบายสำหรับนำเสนอข้อเสนอต่อที่ประชุม CMGF ครั้งที่ 22 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนกันยายน ณ จังหวัดตรัง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการผลักดันแนวทางการพัฒนาให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ IMT-GT ปี 2579 อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่มั่นคง ยั่งยืน และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทยและกลุ่มประเทศสมาชิกอนุภูมิภาค IMT-GT ต่อไป